หลังจากสมาร์ตโฟนเรือธงระบบ Android หลายรุ่น ได้อัปเกรดไปใช้ชิปเซตเรือธง Snapdragon 8 Elite ของ Qualcomm แล้วนั้น ดูเหมือนแบรนด์ต่าง ๆ เริ่มเดินหน้าอัปเกรดแท็บเล็ตเรือธงด้วยชิปเซต Snapdragon 8 Elite ด้วยเช่นกัน

ล่าสุด Kartikey Singh (@That_Kartikey) ได้โพสต์บน X อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าววงใน ระบุว่า Xiaomi กำลังพัฒนาแท็บเล็ตเรือธงรุ่นใหม่ที่จะใช้ศักยภาพจากชิปเซต Snapdragon 8 Elite ด้วยเช่นกัน โดยมีแผนจะเปิดตัวภายในปี 2025

Snapdragon 8 Elite เป็นชิปเซตระดับเรือธงที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งมาพร้อมแกนซีพียู จำนวน 8 คอร์ ดังนี้

  • Oryon (Phoenix L) ความเร็วสูงสุด 4.32 GHz จำนวน 2 คอร์
  • Oryon (Phoenix M) ความเร็วสูงสุด 3.53 GHz จำนวน 6 คอร์
    ในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลสเปกให้ทราบ แต่จากที่แหล่งข่าวเน้นย้ำว่าเป็นแท็บเล็ตระดับเรือธง จึงคาดว่าอาจมาพร้อมจอความละเอียดสูง, แรมสูงสุด 16 GB และแบตเตอรี่ความจุสูงถึง 10,000 mAh

    เมื่อเดือนตุลาคม 2024 ที่ผ่านมา Xiaomi ได้เปิดตัวแท็บเล็ตระดับพรีเมียมรุ่นรองท็อปอย่าง Pad 7 Pro ซึ่งใช้ศักยภาพจากชิปเซตระดับพรีเมียม Snapdragon 8 Gen 3 ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงถึง 3.33 GHz (ซีพียู Arm Cortex-X4), จอ LCD ขนาด 11.2 นิ้ว ความละเอียด 3,200 x 2,136 พิกเซล, แรมสูงสุด 12 GB, สตอเรจสูงสุด 512 GB, กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล และแบตเตอรี่ความจุ 8,850 mAh

ดูเหมือนว่าตลาดเครื่องเกม PC แบบพกพายังคงร้อนระอุ ก่อนหน้านี้ Lenovo ก็ได้เพิ่งเปิดตัว Legion Go Gen 2 ไปหมาด ๆ ล่าสุดถึงคิว Acer ที่ได้เปิดตัว Nitro Blaze 8 และ Nitro Blaze 11 ในงาน CES 2025 โดยจุดเด่นที่น่าสนใจจะอยู่ที่เครื่องรุ่น Nitro Blaze 11 ที่อาจจะเป็นเครื่องเล่นเกมพกพาที่หน้าจอใหญ่ที่สุดไปแล้ว เพราะมันมีหน้าจอใหญ่ถึง 10.95 นิ้ว กันเลย หน้าจอสัมผัส WQXGA รีเฟรชเรต 144 Hz ที่ให้ความสว่างสูงสุด 500 nits ถือว่าเวลาถืออยู่ในมือใหญ่เหมือนเรากำลังเล่นเกมบน iPad Pro กันเลย

ส่วนชิปของ Nitro Blaze 11 จะมาพาร้อมกับ AMD Ryzen 8040HS, แรม LPDDR5X 16GB และความจุสูงสุด 2TB นอกจากนี้ Nitro Blaze 11 ยังมีคอนโทรลเลอร์แบบถอดได้ แบบเดียวกับ Joy-con ของ Nintendo Switch และมาพร้อมขาตั้งในตัว และรองรับ จอยสติ๊ก Hall Effect และปุ่มด้านหลังสองปุ่ม

นอกจากนี้ Acer ยังเปิดตัวเครื่องเล่นเกมพกพกที่มีขนาดเล็กกว่า ในชื่อ Nitro Blaze 8 มีขนาดเล็กกว่ามาก โดยมีหน้าจอขนาด 8.8 นิ้ว โดยมีสเปกเหมือนกับ Nitro Blaze 11 แต่ไม่สามารถถอดคอนโทรลเลอร์ได้ และไม่มีขาตั้ง ซึ่งก็เหมือนกับ Nintendo Switch Lite

Acer Nitro Blaze ทั้งสองรุ่นจะวางจำหน่ายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 โดย Nitro Blaze 11 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 1,099.99 เหรียญ หรือประมาณ 38.000 บาท ส่วน Nitro Blaze 8 จะมีราคาเริ่มต้นที่ 899.99 เหรียญ หรือประมาณ 31,000 บาท

L’Oréal เผยถึงนวัตกรรมในงาน CES 2025 ‘Cell BioPrint’ ที่จะจัดการกับปัญหาจุกจิกในการรักษาผิวกาย เพียงแค่ติดเทปบนแก้ม ใช้เวลา 5 นาที ก็จะได้ผลวิเคราะห์และผลประเมินของผิวเราว่าตอบสนองต่อส่วนผสมที่พบในสกินแคร์ต่าง ๆ อย่างไร ทำให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเราได้ ไม่ต้องลองผิดลองถูกอีกต่อไป

เบื่อไหมกับการเปลี่ยนสกินแคร์มาหลายตัวก็ยังไม่เจอที่เหมาะกับเราสักที งั้นบอกลาการลองผิดลองถูกในการดูแลผิวไปได้เลย เพราะ ‘Cell BioPrint’ จาก L’Oréal และ NanoEnTek ทีมสตาร์ตอัปจากเกาหลี ที่เปิดตัวในงาน CES 2025 นวัตกรรมนี้จะช่วยจัดการปัญหาความไม่แน่นอนในการรักษาผิวโดยการวิเคราะห์ตัวเซลล์ผิวและประเมินความเหมาะสมของเซลล์ผิวที่มีต่อส่วนผสมต่าง ๆ ในสกินแคร์ ซึ่งวิธีใช้มีเพียง 3 ขั้นตอน ดังนี้

  1. ติดแถบเทปไว้บนแก้ม แล้วนำไปวางลงในสารละลายบัฟเฟอร์
  2. เอาสารละลายดังกล่าวใส่ในตลับ จากนั้นนำไปใส่ลงในเครื่อง Cell BioPrint เพื่อวิเคราะห์ผิวของเรา
  3. ขณะที่ Cell BioPrint กำลังประมวลผลตัวอย่างนั้น อุปกรณ์ Skin Connect จะถ่ายภาพหน้าของเราในหลาย ๆ มุม และให้เราตอบแบบสอบถามสั้น ๆ เกี่ยวกับปัญหาผิวและวัยของเรา
  4. สุดท้ายก็จะได้ผลการวิเคราะห์ และคำแนะนำผลิตภัณฑ์ออกมา

อย่างไรก็ตาม เรื่องราคาและระยะเวลาการเปิดให้ใช้งานที่ชัดเจนยังไม่มีการเปิดเผยออกมา แต่ทาง L’Oréal กล่าวว่าจะนำ Cell BioPrint ไปทดสอบใช้งานในเอเชียภายในปี 2025

ที่มา : beartai , https://www.beartai.com/tech/it-news/1449407

นับถอยหลังเตรียมเข้าสู่งานแสดงนิทรรศการระดับโลก World Expo 2025 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นบนพื้นที่ของเกาะยูเมะชิมะ (Yumeshima) ระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายใต้แนวคิดหลัก “Designing Future Society for Our Lives” การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ เพื่อเป้าหมายชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดี ซึ่งการที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้ไปแสดงศักยภาพสาธารณสุขไทยบนเวทีโลก

โดยย้อนกลับไป ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อให้เกิดพฤติกรรมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ประชาชนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นในเรื่องการป้องกันมากกว่าการรักษา ส่งผลให้ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจด้านการดูแลสุขภาพทั่วโลก จากสถาบันด้านสุขภาพสากล หรือ Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวสูง 8.6% ต่อปี จนถึงปี พ.ศ. 2570 โดยมีมูลค่าตลาดสูงกว่า 8.5 ล้านล้านเหรียญฯ หรือมูลค่ากว่า 306 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2563

ขณะที่ในปี พ.ศ. 2568 คาดว่าเศรษฐกิจสุขภาพทั่วโลกจะมีมูลค่าอย่างน้อย 7 ล้านล้านเหรียญฯ หรือ 230 ล้านล้านบาท จากการคาดการณ์มูลค่าตลาดทำให้ประเทศไทยเล็งเห็นโอกาสในการสร้างเม็ดเงินมหาศาลจากเศรษฐกิจสุขภาพ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Ignite Thailand ในด้านการพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งเป็น 1 ใน 13 หมุดหมายสำคัญ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีนโยบายยกระดับเศรษฐกิจสุขภาพในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการผลักดันให้ไทยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก (Medical and Wellness Hub) เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

การเข้าร่วมงาน World Expo 2025 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ถือเป็นโอกาสอันดีในการประชาสัมพันธ์ให้นานาชาติได้เห็นศักยภาพและความพร้อมทางการแพทย์ของประเทศไทย นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดไปสู่โอกาสสำคัญให้กับประเทศไทยในหลายด้าน อาทิ

  • ด้านสาธารณสุข ส่งเสริมและเผยแพร่นโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติในภูมิภาคเวทีโลก ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการเป็นหมุดหมายด้านสุขภาพของคนทั่วโลก รวมถึงเป็นโอกาสอันดีในการแสดงศักยภาพในการบริหารจัดการเกี่ยวกับสุขภาพ และระบบสาธารณสุขไทยให้ทั่วโลกรับรู้
  • ด้านเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการขยายตลาดอุตสาหกรรมด้านการแพทย์ครบวงจรของไทย อีกทั้งเป็นการแสดงศักยภาพ ให้ผู้ลงทุนเกิดความเชื่อมั่นในการลงทุน และดึงดูดให้ผู้ลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งให้ผู้ประกอบการไทย เกิดโอกาสในการขยายการลงทุนไปสู่ภายนอกประเทศ ส่งผลให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศไทยมีความเข้มแข็ง และยั่งยืนในทุกมิติ
  • ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ส่งเสริมภาพลักษณ์ และแสดงศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับโลก ส่งผลดีให้เกิดการจ้างงานและเกิดการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอีกมาก พร้อมทั้งส่งผลดีกับธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงแรม ที่ขยายบริการไปสู่การดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (Wellness Center) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดรายได้มูลค่าสูง นำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่งเสริมความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือกับนานาประเทศ เปิดโอกาสในการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์กับนานาชาติ

สำหรับอาคารนิทรรศการไทย (Thailand Pavilion) ที่จัดขึ้นในงาน World Expo 2025 จะตั้งอยู่ในพื้นที่ A13 โซน Connecting  Lives ได้รับการจัดให้อยู่ในรูปแบบการก่อสร้างแบบ Type A หมายถึงประเทศที่ได้รับพื้นที่ขนาดใหญ่ มีการออกแบบและดำเนินการก่อสร้างเอง ทำให้สามารถสะท้อนถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรม ศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างเต็มที่

โดยมีแนวคิดหลักในการออกแบบคือ “ภูมิพิมาน ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน” เพื่อสะท้อนความเป็นไทยและศักยภาพสาธารณสุขไทยสู่สายตาของนานาชาติในหลากหลายมิติ ผ่านการตีความอัตลักษณ์ของไทย ซึ่งมีทั้งความงดงามและอ่อนช้อยเพื่อสอดแทรกลงไปในอาคาร ด้วยการลดทอนองค์ประกอบของศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณให้ผสานเข้ากับวิธีก่อสร้างสมัยใหม่ เช่น ใช้เทคนิคย่อมุมที่อยู่บนยอดอาคารมณฑป ซึ่งเป็นลักษณะ “ทรงจอมแห” เป็นรูปทรงของหลังคาและมีระดับสูงต่ำตามลักษณะการใช้งานของพื้นที่ภายใน เพื่อให้ใช้พลังงานและทรัพยากรเท่าที่จำเป็นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งยังสอดแทรกลวดลายจักสานของเฉลวมาประกอบเพื่อแสดงความเชื่อและภูมิปัญญาของคนไทย รวมทั้งการใช้สีสันและรูปแบบวัสดุแบบไทย ๆ ที่มีความละเมียดละเอียดลออ เพื่อสะท้อนภูมิปัญญาด้านวัสดุ งานฝีมืออันประณีต ทำให้ผู้เยี่ยมชมได้สัมผัสถึงความละเมียดละไมของศิลปะสถาปัตยกรรมไทยที่ประยุกต์ใช้กับวัสดุและวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่

รูปทรงอาคารในครั้งนี้ถูกออกแบบให้เป็นทรงครึ่งจั่ว โดยมาจากความตั้งใจแรกที่ผู้ออกแบบได้นำความสมดุลของหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมไทยมาเป็นแรงบันดาลใจ แต่ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่ตั้งอาคาร ซึ่งมีหน้าแคบและลึกยาว จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการลดทอนอาคารให้เหลือเพียงครึ่งจั่ว และสร้างผนังกระจกสูงขนาบข้างอาคารยาวตลอดแนว เกิดเป็นเทคนิคภาพสะท้อน เมื่อมองจากด้านหน้าทางเข้าหลักจะได้เห็นจั่วของอาคารที่สมบูรณ์

ในส่วนบริเวณด้านหน้าอาคารแสดงประเทศไทย (Thailand Pavilion) ได้นำประติมากรรม “เฉลว” ตัวแทนความใส่ใจในเรื่องสุขภาพ คู่กับประติมากรรม “ช้าง” ตัวแทนความอุดมสมบูรณ์ อายุยืนยาว และสัญลักษณ์แห่งการต้อนรับนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีมาสคอตตัวแทนประเทศไทยมาเป็นสัญลักษณ์นำโชค โดยมีชื่อว่า “น้องภูมิใจ” ที่มีแนวคิดการออกแบบมาจาก “แมงสี่หูห้าตา” ที่มาพร้อมสิ่งวิเศษทั้ง 4 ได้แก่

  • รอยยิ้มสยาม มอบให้ผู้มาเยือนบ่งบอกได้ถึงตัวตนของคนไทยที่โอบอ้อมอารี มีเมตตา ที่จะต้อนรับและดูแล
  • พรหมวิหาร 4 ประกอบไปด้วย เมตตา (ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข), กรุณา (ใฝ่ใจปลดเปลื้องบำบัดความทุกข์), มุทิตา (ยินดีเมื่อผู้อื่นอยู่ดี มีสุขภาพดี มีคุณภาพชีวิต), อุเบกขา (มีจิตเที่ยงธรรม) ส่งเสริมมาตรฐานสาธารณสุขไทยตามแนวคิด “ภูมิ” ประเทศแห่งการกินดี อยู่ดี มีภูมิคุ้มกัน
  • มี 4 หู 5 ตา
  • เฉลว โลโก้ประจำ “ภูมิพิมาน” ตัวแทนการดูแลใส่ใจด้านสุขภาพ ปักไว้ใกล้กับหม้อยาเพื่อปัดเป่าโรคา มีลักษณะคล้ายต้นไม้ ตัวแทนแห่งการประยุกต์ใช้ทรัพยากรในประเทศด้วยภูมิปัญญา ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทย พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนทุกคนอย่างอบอุ่นจริงใจ

พร้อมกับพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “THAILAND Connecting Lives for Greatest Happiness” สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ และ Thai-Smile Connecting Happiness World Destination ยิ้มสยามที่ก่อให้เกิดความสุขเป็นเป้าหมายปลายทางของคนทั่วโลก โดยหยิบยกเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยตั้งแต่ ภูมิจากธรรมชาติ ภูมิจากวิถี วัฒนธรรม นวัตกรรม จนถึงภูมิคุ้มกันจากศักยภาพและความพร้อมด้านสาธารณสุข มาสื่อสารเพื่อเชื่อมต่อชาวโลกให้เข้าถึงภูมิปัญญา และอัตลักษณ์แบบไทยผ่านบรรยากาศของดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากร และวิถีของผู้คนที่ช่วยสร้างภูมิให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ

ในนิทรรศการไทยแบ่งโซนจัดแสดงออกเป็น 3 ส่วน

  • ส่วนจัดแสดงที่ 1 “ภูมิวิถี” เปิดอรรถรสแห่งการเดินทางเข้าสู่ภูมิพิมาน ดินแดนที่รุ่มรวยไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม รวมทั้งความอุดมสมบูรณ์ของอาหารที่ทำให้ไทยเป็นครัวของโลก ได้แก่

1 หมุดหมายสุขภาพโลก (World’s Destination for Healthcare and Wellness)

ปักหมุดอาคารนิทรรศการไทย ร่วมทำสัญลักษณ์ถ่ายภาพเช็กอินเพื่อแชร์ “ดินแดนแห่งภูมิคุ้มกัน” ให้ทั่วโลกได้รู้จักประตูบานแรกที่เปิดให้ก้าวเข้ามาสัมผัสดินแดนแห่งความกินดี อยู่ดี มีภูมิคุ้มกันสไตล์ไทย ๆ โดดเด่นสะดุดตา ด้วยการนำสถาปัตยกรรมไทยรูปทรง “จอมแห” มาผสมผสานให้เกิดรูปทรงหลังคาอาคารที่มีความเป็นไทยร่วมสมัย แต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างลงตัว โดยมี “น้องภูมิใจ” มาสคอตตัวแทนประเทศไทยรอต้อนรับทุกคนอย่างเป็นมิตร

10 มนต์เสน่ห์ของประเทศไทย (Enchantments of Thailand)

บริเวณพื้นที่ด้านนอกอาคาร จัดแสดงประติมากรรมสำรับอาหารขนาดใหญ่ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยมนต์เสน่ห์ของประเทศไทย ประกอบไปด้วย ภูมิประเทศ, ทรัพยากร, อาหาร และความเป็นอยู่แบบไทย ๆ ที่คนทั่วโลกต่างหลงใหล พร้อมนำเสนอวิถีการกินอย่างไทย เช่น สำรับแซ่บไทยเมนูอาหารจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยสมุนไพรช่วยปรับสมดุลในร่างกาย สำรับภูมิดีผลผลิตเด่น, สินค้าเกษตรและผลไม้ขึ้นชื่อนานาชนิด, วิถีความเป็นอยู่อย่างไทย เช่น สำรับเทศกาลไทยประเพณีสงกรานต์ตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รวมทั้งวิถีสุขภาพดีอย่างไทย เช่น ฤาษีดัดตน ซึ่งเป็นภูมิปัญญานวดแผนไทย ที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นมรดกโลกปี 2019 เป็นการบริหารร่างกายของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งเน้นการฝึกลมหายใจและใช้สมาธิร่วมด้วย จึงเป็นทั้งการบริหารร่างกายและบริหารจิต รวมทั้งช่วยในการบำบัดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้ในระดับหนึ่ง ร่วมตามหาเคล็ดลับอายุวัฒนะในประเทศไทย ดินแดนแห่งความมั่งคั่งด้านสุขภาพ ภายในโรงภาพยนตร์ Wisdom of life Immersive Theater ผ่าน Concert Hall มหรสพรูปแบบใหม่ที่ถ่ายทอดความงดงามของภูมิวิถี, ธรรมชาติ, ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์, การบริการ เเละรอยยิ้มของผู้คน ด้วยจอฉายภาพขนาดยักษ์สูงกว่า 5 เมตร พร้อมระบบแสงสีเสียงสุดล้ำ มอบประสบการณ์ที่สมจริง เกินจินตนาการ ที่ช่วยสร้างภูมิทางกายและภูมิทางใจให้แข็งแกร่ง เพราะสมดุลของ “กาย ใจ” คือความมั่นคงด้านสุขภาพที่สมบูรณ์ที่สุด

  • ส่วนจัดแสดงที่ 2 “ภูมิคุ้มกัน” ถ่ายทอดเรื่องราวจากภูมิวิถีแบบไทย พัฒนาสู่นวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายใหม่ด้านการแพทย์และสุขภาพของโลก

100 ศักยภาพสาธารณสุขไทย (Potentialities of Thai Public Health System) 100 สิ่งสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์โลก เพื่อส่งมอบสุขภาพที่ดี พร้อมสร้างความเชื่อมั่นด้วยศักยภาพสาธารณสุขไทยทั้ง 4 ด้าน ที่จะขับเคลื่อนให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางสุขภาพโลก (Medical and Wellness Hub) ได้แก่ Medical Service Hub, Wellness Hub, Product Hub, Academic Hub รวมถึงพืชสมุนไพร Herbal Champion ที่สามารถยกระดับให้ไทยเป็นดินแดนที่พร้อมดูแลและปกป้องทุกชีวิตได้ในอนาคต

1,000 สถานบริการทางการเเพทย์ (Medical Facilities) กว่า 1,000 สถานบริการเพื่อสุขภาพที่ตอบรับคนทั้งโลก ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ รักษา ฟื้นฟูตลอดจนการพักผ่อนระยะยาวที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อให้ประเทศไทยเป็นดินแดนเป้าหมายสุขภาพดีรองรับสังคมแห่งอนาคต สามารถเข้าถึงได้จากจำนวนสถานบริการทางการแพทย์ที่หลากหลาย ครอบคลุมการรักษาทุกโรคและได้มาตรฐานสากล เช่น JCI, HA ฯลฯ พร้อมแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเชิงส่งเสริมสุขภาพที่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของไทยสามารถฟื้นฟูทั้งร่างกายเเละเยียวยาจิตใจได้ผ่าน Immersive Experience ของ “Thai Nature Therapy”

10,000 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ เรียนรู้สรรพคุณของวัตถุดิบในหลากหลายเมนูอาหารของไทย ผ่าน Interactive Game มาร่วมถอดรหัส DNA อาหารไทย เป็น “ยาที่อร่อยที่สุดในโลก” รวมถึงสำรับอาหารจากภูมิปัญญาไทยทั่วทุกภูมิภาค อันหลากหลายครบรสที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารในทุกฤดูกาล ที่มาพร้อมสมุนไพรเสริมภูมิคุ้มกัน สู่การสร้างสรรค์เมนูอาหารเพื่อสุขภาพมากมาย

  • ส่วนจัดแสดงที่ 3 “ภูมิสยาม” เข้าถึงภูมิแบบไทย ผ่านการลอง ลิ้ม ชิม รสชาติหลากเมนูอาหารไทยจากครัวสาธิต เพลิดเพลินไปกับนิทรรศการหมุนเวียน อาทิ การนวดไทย, การทำถุงเครื่องหอม และอีกหลากหลายกิจกรรมตลอดระยะเวลาจัดงาน

100,000 ผลิตภัณฑ์สร้างภูมิคุ้มกัน พื้นที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมภูมิจากประเทศไทย ทั้งเครื่องแต่งกาย ของแต่งบ้าน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าที่ระลึก รวมถึงโปรแกรมท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ที่ทุกคนล้วนเข้าถึงสุขภาพดีในแบบไทย ๆ ได้

1,000,000 รอยยิ้มแห่งความประทับใจ พื้นที่รวบรวมล้านความรู้สึกประทับใจทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มีส่วนร่วมแบ่งปันรอยยิ้ม เสริมภูมิทางใจให้กับคนทั่วโลก

พร้อมกันนี้ ได้มีการจัดให้มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย บริเวณหน้าทางเข้าหมุนเวียนให้ชมในแต่ละวันตลอด 6 เดือนเต็ม รวมทั้งการแสดงกิจกรรมพิเศษโอกาสต่าง ๆ, การแสดงวันเฉลิมฉลองของชาติไทย และการแสดงความสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่น 138 ปี ฯลฯ ที่จะมาสร้างความน่าตื่นตาตื่นใจและความประทับใจแก่ผู้ที่มาร่วมชมงาน รวมทั้งนิทรรศการและกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ จากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาร่วมจัดกิจกรรม

จากการประมาณการคาดว่าจะมีประเทศสมาชิกและองค์กรระหว่างประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วมงานในครั้งนี้ประมาณ 28.2 ล้านคน ซึ่งจากจำนวนผู้เข้าร่วมงานดังกล่าว คาดว่าจะมีประเทศกลุ่มเป้าหมายที่ประเทศไทยมุ่งขยายตลาดเศรษฐกิจสุขภาพเข้าร่วมงานอีกเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น, กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) 6 ประเทศ คือ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย, รัฐคูเวต, รัฐสุลต่านโอมาน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, รัฐกาตาร์, ราชอาณาจักรบาห์เรน รวมถึงกลุ่มประเทศ CLMV คือ ราชอาณาจักรกัมพูชา, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน นับเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยจะได้แสดงศักยภาพเพื่อดึงดูดนักลงทุนกลุ่มทางการแพทย์ รวมทั้งนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ สามารถต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วประเทศให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นำไปสู่การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมหาศาล

สำหรับผู้ที่สนใจงาน World Expo 2025 สามารถร่วมสัมผัสเสน่ห์ของอาคารนิทรรศการไทย ภายในงาน World Expo ได้ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม พ.ศ. 2568 และติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thailand Pavilion World Expo 2025

กลุ่มนักเขียนกล่าวหาว่า Meta ใช้หนังสือผิดลิขสิทธิ์มาใช้ฝึก AI ภายใต้ความเห็นชอบจากซีอีโอ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)

ทา-เนฮีซี โคเตส (Ta-Nehisi Coates) ซาราห์ ซิลเวอร์แมน (Sarah Silverman) และนักเขียนคนอื่น ๆ ยื่นฟ้อง Meta ในคดีการละเมิดลิขสิทธิ์ ในเอกสารคำสั่งที่เผยแพร่สู่สาธารณะชี้ว่าเอกสารภายในของ Meta เผยให้เห็นว่าบริษัทรู้ดีว่าหนังสือที่นำมาใช้ฝึก AI เป็นเวอร์ชันที่ละเมิดลิขสิทธิ์

นอกจากนี้ กลุ่มโจทก์ยังขออนุญาตศาลในการยื่นคำฟ้องที่ได้รับการปรับปรุงเนื้อหา โดยชี้ว่ามีหลักฐานใหม่ที่ระบุว่า Meta ใช้ชุดข้อมูล LibGen ที่รวมงานเขียนละเมิดลิขสิทธิ์หลายล้านฉบับ และเผยแพร่อยู่บนแพลตฟอร์มทอร์เรนต์ ในการฝึก AI

ในเอกสารยังระบุอีกว่า ซักเคอร์เบิร์กเป็นผู้อนุมัติการนำชุดข้อมูล LibGen มาใช้ แม้ว่าจะมีเสียงคัดค้านและการแสดงความกังวลจากผู้บริหารฝั่ง AI และพนักงานใน Meta ก็ตาม

ที่มา : beartai
https://www.beartai.com/tech/it-news/1450424

ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า vivo กำลังพัฒนาสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ vivo X200s ที่จะเปิดตัวในปีนี้ด้วยชิป Dimensity 9400+ โดยแม้จะมีการพูดถึงเฉพาะ X200s แต่ก็มีการลุ้นว่า vivo จะเปิดตัว X200s Pro กับ X200s Pro mini ด้วยหรือไม่

รายงานล่าสุดจาก Digital Chat Station เผยว่า vivo จะเปิดตัวเฉพาะ X200s เท่านั้น และจะไม่มีการเปิดตัว X200s Pro หรือ X200s Pro mini อย่างที่มีการคาดหวังเอาไว้

สำหรับ vivo X200s ที่กำลังจะเปิดตัวนั้นนอกจากจะได้อัปเกรดชิป Dimensity 9400+ แล้วยังลือว่า รุ่นนี้จะใช้หน้าจอ LTPS OLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 1.5K และเป็นไปได้ว่า X200s จะเปิดตัวพร้อมตัวเลือกสีใหม่ที่แตกต่างไปจากไลน์อัป X200 ที่เปิดตัวมาแล้วในปัจจุบัน

ที่มา : beartai , https://www.beartai.com/tech/it-news/1450263

จากกรณีข่าว Apple ตกลงจ่ายเงิน 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อยุติคดีฟ้องร้องแบบกลุ่ม หลัง Apple ถูกฟ้องร้องว่า Siri แอบบันทึกเสียงสนทนาของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอม และนำข้อมูลไปใช้เพื่อการโฆษณา โดยมีผู้ใช้บางรายอ้างว่าได้รับโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน แม้ไม่ได้ตั้งใจเรียกใช้ Siri ก็ตาม ตัวอย่างเช่น มีผู้ใช้อ้างว่าหลังจากพูดถึงรองเท้า Air Jordan หรือร้านอาหาร Olive Garden ก็พบโฆษณาของสินค้าและร้านเหล่านั้นปรากฏขึ้น หรือแม้แต่กรณีที่ผู้ใช้รายหนึ่งได้รับโฆษณาเกี่ยวกับการรักษาทางศัลยกรรมหลังจากการปรึกษาแพทย์ส่วนตัว

คดีนี้เริ่มต้นในปี 2019 หลังมีรายงานว่า Apple ใช้ผู้รับเหมาฟังบันทึกเสียง Siri เพื่อปรับปรุงระบบ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว แม้ Apple จะอ้างว่าไม่เคยนำข้อมูล Siri ไปใช้ทางการตลาด และข้อมูลถูกทำให้ไม่ระบุตัวตน แต่ก็ตัดสินใจยุติคดีเพื่อหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีที่ยืดเยื้อ

ผู้ใช้อุปกรณ์ Siri ในสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบระหว่างปี 2014-2024 อาจมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชย โดยสามารถยื่นคำร้องได้ถึงเดือนพฤษภาคม 2025 หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว Apple ได้ปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัว และเพิ่มตัวเลือกให้ผู้ใช้ควบคุมการบันทึกเสียง Siri ได้มากขึ้น รวมถึงย้ายการประมวลผลบางส่วนมาที่อุปกรณ์โดยตรง

และหากย้อนไปก่อนหน้านี้เคยมีกรณีคล้ายกันและเป็นข่าวดังพอสมควร นั่นคือ Facebook เคยถูกฟ้องร้องในคดีที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกเสียงของผู้ใช้ผ่าน Messenger โดยไม่ได้รับความยินยอม ศาลตัดสินให้ Facebook ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียหายเช่นกัน โดยบริษัทอ้างว่าเพราะต้องการฟังไฟล์เสียงเพื่อนำไปตรวจสอบประสิทธิภาพของ AI ในการแปลข้อความเสียงเป็นข้อความตัวอักษรอัตโนมัติ

ซึ่งมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Facebook ได้ให้การต่อสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนเมษายน 2018 โดยยืนยันว่าบริษัทไม่เคยแอบดักฟังผู้ใช้งานผ่านไมโครโฟนเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางการโฆษณา ซึ่ง Facebook จะบันทึกเสียงผ่านไมโครโฟนของแอปพลิเคชันเฉพาะในกรณีที่ผู้ใช้งานอนุญาต หรือในขณะที่ใช้งานฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับข้อความเสียงเท่านั้น ไม่มีการดักฟังเด็ดขาด

ส่วนยักษ์ใหญ่ของวงการไอทีอย่าง Google ในปี 2020 Google เคยถูกฟ้องร้องในคดีที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกเสียงของผู้ใช้ผ่าน Google Assistant โดยไม่ได้รับความยินยอม ศาลตัดสินให้ Google ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้เสียหายเช่นกัน

สรุปแล้วการที่สินค้าไอที ไม่ว่าจะเป็นมือถือสมาร์ตโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า IoT ในบ้านแอบดักฟังลูกค้า หลายฝ่ายก็มองว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือสามารถช่วยให้บริษัทปรับปรุงบริการและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น AI เรียนรู้คำสั่งได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น แต่ข้อเสียคือการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัท นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจทำให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชยและภาพลักษณ์เสียหาย

การที่บริษัทเลือกที่จะบันทึกเสียงของผู้ใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมอาจเป็นการตัดสินใจที่ไม่คุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากความเสี่ยงทางกฎหมายและการสูญเสียความไว้วางใจจากผู้ใช้ การที่บริษัทเลือกที่จะโปร่งใสและให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในการสร้างความไว้วางใจและความพึงพอใจในระยะยาว

ที่มา : Beartai
https://www.beartai.com/tech/features/1449997

สำหรับ Redmi Note 14 Pro 5G เเละ Redmi Note 14 Pro+ 5G มาพร้อมหน้าจอ 6.67″ CrystalRes AMOLED display 120Hz ความละเอียด 1.5K (1220P) และความสว่างสูงสุด 3000 nits สู้แสงแดดได้สบายๆ แถมยังมีเทคโนโลยีถนอมสายตา ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ใช้งานนานๆ ก็ไม่ปวดตา แถมจอทนทานระดับตัวท็อป Corning® Gorilla® Glass Victus® 2 อีกด้วย

กล้องถ่ายรูป ระดับโปร

ทั้งคู่ใช้กล้องเซ็นเซอร์หลัก 200MP f/1.65 พร้อมระบบกันสั่น OIS ถ่ายภาพคมชัดทุกสถานการณ์ ซึ่งด้วยเซ็นเซอร์ความละเอียดสูง ทำให้ซูมภาพระดับ 4 เท่าก็ยังโอเค และซูมไปจนสุดที่ 30 เท่า! พร้อมกล้องมุมกว้างความละเอียด 8MP กล้องมาโครความละเอียด 2MP มี Xiaomi Imaging Engine ช่วยให้ภาพประมวลผลไวและสวยงามมากยิ่งขึ้น และกล้องหน้า 20MP มีเหมือนกันทั้งคู่

มาพร้อม AI แบบจัดเต็ม

ไม่ว่าจะเป็น AI Image Expansion ขยายภาพให้ดูสมจริง AI Erase Pro ลบสิ่งที่ไม่ต้องการออกจากภาพ และ AI Sky เปลี่ยนท้องฟ้าง่าย ๆ แค่ปลายนิ้วสัมผัส หรือบริการ AI จาก Google Google Gemini , Circle to Search ค้นหาข้อมูลรอบตัวได้ง่ายๆ แค่ลากวงกลม พร้อม AI Flim, AI Interpreter, AI Notes, AI Recorder, AI Subtitles , AI Face Unlock

โดยเฉพาะรุ่น Pro จะมาพร้อมโครงสร้าง All-Star Armor สุดแกร่ง กระจก Corning® Gorilla® Glass Victus® 2 และ ทั้งคู่ได้มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ลงน้ำได้สบายๆ!

ชิปเซ็ตที่ต่างกัน

Redmi Note 14 Pro+ 5G มาพร้อมชิป Snapdragon® 7s Gen 3 และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน 5,110 mAh และชาร์จไว 120W ชาร์จแป๊บเดียวแบตเต็ม!

ส่วน Redmi Note 14 Pro 5G มาพร้อมชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 7300-Ultra แบตเตอรี่ 5,110 mAh ชาร์จไว 45W

Redmi Note 14 , Redmi Note 14 5G

เเม้ว่าจะเป็นรุ่นน้องเล็ก แต่ก็ยังจัดเต็มเรื่องกล้องและฟีเจอร์ AI ใส่มาให้พอสมควรไม่ว่าจะเป็น AI Erase, AI Sky, AI Beautify , Google Gemini , AI Face Unlock ทั้งคู่ได้หน้าจอ 6.67″ AMOLED display 120Hz 1080P มีเทคโนโลยีถนอมสายตา ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland เหมือนรุ่นพี่ จอทนทาน Corning® Gorilla® Glass 5 และมีเเค่ Redmi Note 14 5G มีมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP64

ส่วนเรื่องกล้องทั้งคู่ใช้กล้องเซ็นเซอร์หลักตัวเดียวกัน 108MP f/1.7 เเต่ระบบกันสั่น OIS จะมีอยู่เเค่บน Redmi Note 14 5G เท่านั้น และกล้องหน้า 20MP มีเหมือนกันทั้งคู่

ชิปเซ็ต Redmi Note 14 ได้ MediaTek Helio G99-Ultra แบตเตอรี่ 5500 mAh ชาร์จ 33W ส่วน Redmi Note 14 5G ได้ MediaTek Dimensity 7025-Ultra แบตเตอรี่ 5110 mAh ชาร์จ 45W ลำโพงคู่ Dolby Atmos

ราคาและสี (พร้อมโปรโมชั่น)

Redmi Note 14 Pro+ 5G (12GB+512GB): ราคา 14,990 บาท รับฟรี! Redmi Note 14 Series x BamBam Exclusive Gift Set และประกัน VIP

Redmi Note 14 Pro 5G (12GB+256GB): ราคา 11,990 บาท รับฟรี! Redmi Watch 5 Active และประกัน VIP

Redmi Note 14 5G

  • (8GB+256GB): ราคา 7,999 บาท รับฟรี! กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP
  • (12GB+512GB): ราคา 9,999 บาท รับฟรี! กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP

Redmi Note 14 (8GB+256GB): ราคา 5,999 บาท รับฟรี! กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP

พิเศษสุดๆ! สำหรับลูกค้าที่ซื้อ Redmi Note 14 Pro+ 5G และ Pro 5G มีสิทธิ์ลุ้นเข้าร่วมงาน Fan Meet สุดเอ็กซ์คลูซีฟกับ BamBam ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สยามพารากอน

ที่มา: beartai
https://www.beartai.com/tech/1450562

 

องค์กรอย่างน้อย 46 แห่งในญี่ปุ่น รวมถึงธนาคารและหน่วยงานรัฐบาล ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีไซเบอร์ที่คาดว่าใช้มัลแวร์ชนิดเดียวกันตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัท Trend Micro ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ เปิดเผยข้อมูลนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

บริษัทที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วยสายการบิน Japan Airlines (JAL), NTT Docomo และธนาคารรายใหญ่ ซึ่งตกเป็นเหยื่อของการโจมตีแบบ Distributed Denial-of-Service (DDoS) การโจมตีลักษณะนี้เกิดจากการที่เครือข่ายถูกโจมตีด้วยข้อมูลจำนวนมากจากหลายแหล่งพร้อมกัน ส่งผลให้บริการต้องหยุดชะงักชั่วคราว เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยมีการโจมตีเว็บไซต์และแอปพลิเคชันเกี่ยวกับพยากรณ์อากาศ การกู้คืนระบบในกรณีนี้ใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง

Trend Micro เปิดเผยว่าผู้โจมตีใช้บ็อตเน็ต ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ติดมัลแวร์ เพื่อดำเนินการโจมตี นอกจากนี้ ในกรณีของ JAL ยังพบหลักฐานการโจมตี IP address ขององค์กรที่ได้รับผลกระทบผ่านบ็อตเน็ตเฉพาะ

การสืบสวนยังเผยว่ามีรูปแบบการโจมตีที่คล้ายกันในสหรัฐอเมริกาและยุโรป แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ว่ากลุ่มแฮกเกอร์หลายกลุ่มอาจทำงานพร้อมกัน แฮกเกอร์สามารถควบคุมอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น กล้องวงจรปิดและเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เพื่อใช้ในการโจมตีไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เจ้าหน้าที่จาก Trend Micro ระบุว่า “เราไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ว่ามีกลุ่มผู้โจมตีหลายกลุ่มดำเนินการในเวลาเดียวกัน” การโจมตีครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและขอบเขตของภัยคุกคามไซเบอร์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน องค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องเสริมสร้างระบบความปลอดภัยเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนี้อย่างเร่งด่วน

ที่มา : beartai , https://www.beartai.com/tech/it-news/1450556

Samsung Galaxy A56 จะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้พร้อมกับการออกแบบกล้องใหม่ที่คล้ายกับ Galaxy Note 10 อ้างอิงจากภาพเรนเดอร์ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ พร้อมกับการอัปเกรดกล้อง ชิป Exynos 1580 และชาร์จไวระดับ 45W เทียบเท่ากลุ่มเรือธง

นอกจากนี้ Samsung Galaxy A56 ยังได้รับการรับรองให้จำหน่ายในประเทศจีน ผ่านการตรวจสอบโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (MIIT) โดยมีโมเดลเครื่องเป็น SM-A5660

เอกสารรับรองจากทางหน่วยงานจีนระบุว่า Samsung Galaxy A56 จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4,905 mAh ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ผลิตมักจะโฆษณาความจุที่มากกว่าที่ระบุในเอกสาร ดังนั้น คาดว่าความจุสำหรับโปรโมตเมื่อวางจำหน่ายจริงจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 – 5,100 mAh

Samsung Galaxy A56 จะรองรับการเชื่อมต่อ 5G, GPS, รองรับ 2 ซิม และใช้ระบบปฏิบัติการ Android 15 ตั้งแต่แกะกล่อง พร้อมกับ One UI 7 ซึ่งหากมาพร้อมกับ One UI 7 ก็ต้องเป็นหลัง Samsung เปิดตัว Galaxy S25 ซีรีส์อีกที

ที่มา : Beartai
https://www.beartai.com/tech/1449948